Music
อ่านต่อบทสัมภาษณ์ Maft Sai DJ ผู้ที่นำเพลงหมอลำ ไทย-ฟังค์ พูดต่อถึงแนวเพลงและโปรเจคต่อไปในอนาคต
ถ้าเปรียบเทียบกัน การไปทัวร์ครั้งแรกกับครั้งที่สองคนให้ความสนใจมากขึ้นกว่าเดิมมั้ย?
ครั้งแรกที่ไปมันเหมือนว่าคนเขาไม่รู้ว่าจะ Expect อะไร นี่คือดนตรีอะไร แนวอะไรรู้แค่มาจากเมืองไทย แต่คนก็ให้การตอบรับดี แต่พอไปปีที่ 2 มันเหมือนมีคนที่เคยไปดูเรามาในปีแรกแล้วกลับมาดูปีที่ 2 เยอะ ตอนที่ไปฝรั่งเศสมีคนบินมาจากอิตาลีเพื่อที่จะมาดูวงเล่นแค่คืนเดียวแล้วบินกลับในตอนเช้า เพราะว่าเคยดูเราเล่นปีที่แล้วที่โปแลนด์ มันมีกลุ่มคนที่สนใจมากขึ้น รู้ว่าเล่นเป็นยังไง ไม่ใช่กลุ่มใหญ่แต่ก็เป็นกลุ่มที่เขาชื่นชอบดนตรีแบบนี้จริงๆ ส่วนปีนี้ที่ไปก็มีการ Warm up เล่นเปิดโชว์ให้กับ Damon Albarn (นักร้องนำวง Blur) เป็น Solo Project ของเขาเองที่ไม่ได้เกี่ยวกับวง Blur ซึ่งเขาค่อนข้างที่จะเปิดกับ World Music ตอนเปิดโชว์คือคนที่มาเขาก็ Expect Damon อยู่แล้วซึ่งเขาก็ไม่ได้มีเวลาโปรโมตเรามากเท่าไหร่ พอเราเดินออกมาอยู่บนเวทีตอนนี้คนก็งงกันว่าเกิดอะไรขึ้น ปั้ม มือเบสของวงก็อธิบายไป Feedback วันนั้นค่อนข้างที่จะดีครับ คนไม่ได้เต้นทุกเพลง แต่ว่าโยกตามทุกเพลง คนที่นั้นเขาก็จะไม่เคยเห็นพิณกับ แคนของบ้านเรา เขาก็จะงงๆว่าเสียงมันออกมาจากตรงไหนกันแน่ พอได้เดินทางเยอะขึ้น ใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้นมันทำให้ทุกอย่างกระชับมิตรขึ้น เปิดใจ เปิดรายละเอียดในการแต่งเพลง Produce เพลงใหม่
ใครที่เป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดัน?
มันเริ่มมาจากกลุ่มเพื่อนมากกว่า ตอนอยู่อังกฤษแชร์ห้องอยู่กับเพื่อนๆ ทุกคนสะสมแผ่นเสียง และเป็น Dj ทุกคน มันทำให้เราซื้อแผ่นเสียงไปด้วย แต่ก่อนที่ผมจะมาซื้อแผ่นเสียง ผมก็ซื้อตั้งแต่ Cassette, CD เก็บฟังอยู่เรื่องๆ แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อเป็นจริงเป็นจัง ที่บ้านที่อยู่ตอนนั้นทุกคนเก็บแผ่นเสียงหมดแต่ไม่มี Turntable ต้องไปยืมบ้านพ่อเพื่อนอีกคน พอเราโตขึ้นเพื่อนๆก็มีงาน Dj กันหมด แล้วผมกลายเป็น Dj คนสุดท้ายของบ้าน พอเป็ฯ Dj แล้วก็เริ่มซื้อเครื่องมาลองเล่น แต่ว่าก็ไม่ได้เปิดเป็นจริงเป็นจัง สักพักเพื่อนก็ชวนให้มาเปิดด้วยกันที่ ตอนนั้นไม่ได้ดูในเรื่องของการ Mix เลยนะ จะดูในเรื่องของ Selection ซะมากกว่า แล้วก็เปิดด้วยกันที่ร้านชื่อว่า Market Bar
สักพักมันก็มีเงินใช้มากขึ้นก็ซื้อ Mixer ได้แล้ว มีเงินจากการ Dj เราก็เอามาซื้อแผ่นเสียงมันก็วนๆอยู่แบบนี้ เราโชคดีตรงที่ว่าเรามีเพื่อนที่ชอบเพลงคนละแนวกันเลย แต่ละคนก็เอามาเปิดให้เราฟัง เราก็เลยได้ยินเยอะแล้วเราก็เลยมาเก็บพวก Soul Funk, Disco, ผมเคยมาเล่นพวก House สักพักไปจนถึง Deep House, House Detroit, Beat Down , Chicago Detroit, ประมานั้น แต่ว่าพอฟังสักพักเราก็ได้เรียนรู้ว่าพวก Producer เขาเอาพวกดนตรี African มาผสมเราเลยมาศึกษาพอไปหา Root Music มากขึ้นทำให้เราเล่น Electronic Music น้อยลง เราหา Production ที่เราไม่เคยฟังมากกว่า พอกลับมาเมืองไทยเลยคิดว่านืที่จะมาทำ Project อะไรที่เราเชื่อมั่น แล้วได้มาเจอเพลงไทย ทำไมมันน่าสนใจมาก Production มัน Complex มากกว่าที่คนจะมาดูถูก ถ้าจะให้ฟังและลองมองดีๆมันมีอะไรลึกซึ้งในเรื่องการคิดเลยมาลองใน Project นี้กันดู
เพลงในแบบ Maft Sai คืออะไร?
Vintage Sound ของ South East Asia, Middle East แล้วก็ Africa จริงแล้วแนวเพลงของ South East Asia ผมสนใจหมดตั้งแต่เพลงลูกทุ่ง หมอรำ ไปถึงเพลงภาคใต้ โนราห์ ตะลุง จนไปถึงเพลงจากมาเลฯ อินโดฯ หรือว่า Orkestra melayu แต่ว่าเพลงเหล่านี้มันก็จะโยงกลับไปที่พวกมูสลิมอย่าง เยเมน , Middle East พวก African Beat พอเราเริ่มสนใจ World Music ในยุค 60s 70s มากขึ้นมันก็จะมี Link ในเรื่องของแนวเพลงที่มันคาบเกี่ยวกัน อธิบายยากเหมือนกันว่าเล่นยังไง เป็นการรวมกันระหว่าง Asian Culture และ Middle East ไปถึง Caribbean sea
ตอนนี้มีโปรเจคอะไรให้เราได้ติดตามบ้าง?
Project ตอนนี้ของ Zudrangma(สุดแรงม้า) ปลายปีนี้จะมี Release และ Compilation ออกมามากขึ้น จะเป็น Series ของหมอรำ Producer เราจะโฟกัสตั้งแต่หมอรำไปถึงแหล่ ไม่ใช่โฟกัสที่ศิลปิน แต่โฟกัสที่ Producer ที่ประพันธ์เพลงนี้ขึ้นมา ส่วน HD Store ที่ Zudrangma(สุดแรงม้า) ร้านแผ่นเสียงก็จะมีพวก Selection เพลงเข้ามาใหม่มากขึ้น ตั้งแต่ค่าย Rush Hour, Soul Jazz Records, Honest jon's หลายๆค่ายที่ทำพวก Jazz , Reggae , Funk, world Music จะเริ่ม Stock แผ่นเสียงเหล่านี้ทั้งตัว Re-Issue และตัว Compilation ซึ่งก่อนหน้านี้เรามีมาไม่เยอะพอ ขายหมดก็หมดไป ต่อจากนี้เราก็ตั้งใจว่าอยากให้มันเป็นสถานที่ๆมี Selection เพลงมากกว่าที่จะมีแค่ของเก่าอย่างเดียว
ส่วน Paradise Bangkok คงจะเป็นเรื่องของ Release ที่จะเยอะขึ้นตั้งแต่แผ่น 7 นิ้ว และก็จะมี Event ช่วงปลายปีนี้ เป็น Live Event ของ Paradise Bangkok Party ต่อมาก็จะเป็นเรื่องของ Studio Lam ที่เป็นแผ่นเสียง ค่ายเพลง พวก Release ของวงจะมามากขึ้น อย่างวง Paradise Bangkok ก็จะเป็นหมอรำด้านนึง เป็น Dub Version อีกด้านนึง แล้ตัวต่อไปที่กำลังจะออกคือหมอรำที่เป็น Reggae Version แล้วก็ค่อยเป็นอัลบั้ม เสร็จปุ๊ปก็จะมีอีกวงนึงเป็น Disco และต่อจากนี้ Paradise bangkok จะมีผลงานออกมาทุกๆเดือนเป็นแผ่นเสียง 7 นิ้ว แล้วสุดท้ายก็ร้าน Studio Lam Bar ที่สุขุมวิท 51 ก็จะเน้นไปทางด้านของ Activity มากกว่า เราจะจัด Event Live ที่เดือนนึงจะมี 3 งานอาจจะเริ่มกันยานี้ โดยงานแรกก็จะเป็ฯ Paradise Bangkok Special Project งานนี้เราจะเอานั้นดนตรีพื้นบ้านจากต่างจังหวัด ที่มีฝีมือในกาเล่นแต่ว่าไม่ค่อยมี Platform ให้เขาได้แสดงเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือดัง อาจจะเป็น Solo มาโชว์ฝีมือกัน
อีกอันนึงคือจะเอานักดนตรีในกรุงเทพที่เก่งๆมาแจมกัน แต่แต่ละโชว์ต้องมีเรื่องราวความเป็นมา เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ในกรอบความ Commercial หรือ Mainstream ที่มาฟิกคนๆนั้นไว้ อีกงานนึงจะเป็น Jazz งานนี้จะไป Link up กับกลุ่มที่เชียงใหม่ชื่อว่า North scape เป็นงาน Jazz ที่มีความสกปรก และความดิบ เพราะเราไม่ต้องการ การดูดี ดูหล่อ นี่ก็คือ 3 Live Event ที่เราจะเริ่มทำต่อจากนี้